ยินดีต้อนรับสู่ Blogger เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครูค่ะ
สวัสดีค่ะผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Blogger ของดิฉันทุกท่านนะคะ Blogger นี้จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในเนื้อหาจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 8บท ดังนี้
1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
4. ซอฟต์แวร์
5. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
6.อินเทอร์เน็ต
7. การปยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
8. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองาน
และดิฉันหวังว่าเนื้อหาทั้ง8บทนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนนะคะ หากผิตพลาดประการใดดิฉันก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

.

.

หน่วยที่2

หน่วยที่ 2 
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


1.ระบบและวิธีการเชิงระบบ
        การทำงานใดๆให้ประสบผลสำเร็จบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นย่อมเกิดจากพื้นฐานวิธีการที่มีลำดับและขั้นตอนชัดเจนสามารถปฏิบัติซ้ำๆได้หลายครั้งอย่างถูกต้องและสมเหตุสมผลทุกครั้งไปเราเรียกกระบวนการและขั้นตอนนี้ว่า "ระบบ"
        ระบบ(System) หมายถึง การทำงานขององค์ประกอบย่อยๆอย่างอิสระแต่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนกลายเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ของแต่ละงาน
        วิธีการเชิงระบบ(System Approach) วิธีเชิงระบบหรือวิธีระบบคือคำๆเดียวกัน เป็นกระบวนการคิดหรือการทำงานอย่างมีแบบแผนชัดเจนในการนำเนื้อหาความรู้ด้านต่างๆซึ่งอาจเป็นวิธีการหรือผลผลิตมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นข้นตอน เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
        องค์ประกอบของวิธีระบบ
        วิธีระบบมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
        1. ปัจจัยนำเข้า (Input) หมายถึง วัตถุสิ่งของต่างๆรวมถึงเหตุการณ์ สถานการณ์วัตถุประสงค์ ปัญหา ความต้องการ ข้อกำหนด กฏเกณฑ์ อันเป็นต้นเหตุของประเด็นปัญหา
        2. กระบวนการ (Process) หมายถึง วิธีการ ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน การสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเกี่ยวกับเนื้อหาและปัจจัยนำเข้าให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือความต้องการ
        3. ผลลัพธ์ (Output) หมายถึง ผลงานที่ได้จากกระบวนการจัดการวัตถุดิบหรือปัจจัยนำเข้าผลงานที่ได้รับอาจจะเป็นวิธีการหรือชิ้นงานก็ได้ ซึ่งสามารถประเมินผลและตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับ (faceback) ได้
2.ระบบสารสนเทศ
        ระบบสารสนเทศ (Information System) คือการประมวลผลข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นกระบวนการเพื่อให้ข้อมูลในรูปของข่าวสารที่เป็นประโยชน์สูงสุด และเป็นข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้สนับสนุนการบริหาร และการตัดสินใจ ทั้งในระดับปฏิบัติการ ระดับกลาง และระดับสูง ระบบสารสนเทศจึงเป็นระบบที่จัดตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับข้อมูล ดังต่อไปนี้
        1.รวบรวมข้อมูลทั้งภายใน ภายนอกที่จำเป็นต่อหน่วยงาน
        2. จัดกระทำเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อให้เป็นสารสนเทศที่พร้อมจะใช้ประโยชน์ได้
        3. จัดให้มีระบบเก็บเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกต่อการค้นหาและนำไปใช้
        4. มีการปรับปรุงข้อมูลเสมอเพื่อให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันตลอดเวลา
3.องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
        การจำแนกองค์ประกอบระบบสารสนเทศมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับเกณฑ์หรือวัตถุประสงค์ของแต่ละงาน ในที่นี้จำแนกเป็น 2 ประเภทได้แก่
       1. องค์ประกอบหลักของระบบสารสนเทศ
           องค์ประกอบหลักของระบบสารสนเทศมีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน ได้แก่ ระบบการคิดและระบบเครื่องมือ
           ระบบการคิด หมายถึง กระบวนการและขั้นตอนในการจัดลำดับ จำแนก แจกแจง และจัดหมวดหมู่ข้อมูลต่างๆเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บและเผยแพร่
           ระบบเครื่องมือ หมายถึง วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่นำมาใช้ในการรวบรวม จัดเก็บ และเผยแพร่สารสนเทศให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
       2. องค์ประกอบด้านต่างๆของระบบสารสนเทศ
           เนื่องจากสารสนเทศ เป็นวิธีการหรือกระบวนการในการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานต่างๆ     ดังนั้นองค์ประกอบสารสนเทศของงานแต่ละด้านจึงแตกต่างกัน ดังนี้
           1.องค์ประกอบของสารสนเทศด้านจุดมุ่งหมาย ในการแก้ปัญหา มี 4 ประการได้แก่ ข้อมูล (Data) สารสนเทศ (Information) ความรู้ (Knowledge) ปัญญา (Wisdom) ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน
           2. องค์ประกอบของสารสนเทศด้านขั้นตอน ในการดำเนินงานมี 3 ประการ คือ ข้อมูลนำเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (Output) การทำงานจะเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนข้อมูลดิบที่เข้ามาสู่การคำนวณประมวลผลหรือการกลั่นกรองจนได้ชิ้นงานหรือผลลัพธ์ (output) และจัดเก็บเพื่อนำออกมาเผยแพร่ในลักษณะของสารสนเทศต่อไป
          3. องค์ประกอบของสารสนเทศในหน่วยงาน ได้แก่ บุคคลหรือองค์กร เทคโนโลยี ข้อมูลและระบบสารสนเทศ
          4. องค์ประกอบระบบสารสนเทศทั่วไป (Information Process Systems) ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบดังนี้ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล (hardware) ข้อมูล (data) สารสนเทศ (information) โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ (software) บุคลากรด้านคอมพิวเตอร์ (people ware)
4.ขั้นตอนการจัดระบบสารสนเทศ
           การจัดระบบสารสนเทศเป็นการกำหนดขั้นตอนการดำเนินงานและการแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานสารสนเทศ โดยการรวมและวิเคราะห์ปัญหา ข้อมูล วิธีการ ทรัพยากร เพื่อแก้ปัญหาและประเมินผลลัพธ์ที่ได้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้
                           ขั้นที่1 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) 
                            วิธีการวิเคราะห์ระบบสารสนเทศ แบ่งออกเป็น 4 หน่วยย่อยคือ
                            1. วิธีวิเคราะห์แนวทางการปฏิบัติงาน คือ การพิจารณาทิศทางในการดำเนินการและจุดมุ่งหมายของระบบสารสนเทศ เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
                            2. วิเคราะห์หน้าที่ เป็นการกำหนดหน้าที่โดยละเอียดตามที่กำหนดไว้ในแนวทางปฏิบัติงานเกี่ยวกับสารสนเทศ
                            3. วิเคราะห์งาน เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการกระทำตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ในขั้นการวิเคราะห์หน้าที่ การวิเคราะห์หน้าที่และงานเป็นสิ่งขยายขั้นการวิเคราะห์แนวทางปฏิบัติงาน
                           4. วิเคราะห์วิธีการและสื่อ เป็นการกำหนดหลักการปฏิบัติ กลวิธี และสื่อที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายหรือสิ่งที่ต้องการ
                            ขั้นที่2 การสังเคราะห์ระบบ (System Synthesis)
                             วิธีการสังเคราะห์ระบบช่วยเกลี่ยน้ำหนักเนื้อหาหรือภาระงานของขั้นตอนต่างๆ ให้มีความสมดุลในการแก้ปัญหาซึ่งมีขั้นตอนย่อยดังนี้
                           1. การเลือกวิธีการหรือกลวิธี เพื่อหาช่องทางไปสู่จุดมุ่งหมายแล้วทดสอบและทดลองกลวิธีเพื่อปรบปรุงให้เหมาะสมกับสารสนเทศที่วิเคราะห์และสังเคราะห์ไว้
                           2. ดำเนินการแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยเลือกกลวิธีที่เหมาะสมที่วางแผนแล้วก่อนใช้กลวิธีนั้นดำเนินการแก้ปัญหา
                           3. ประเมินผลประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยการแก้ปัญหาแล้วประเมินผลเพื่อหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้
                           ขั้นที่3 การสร้างแบจำลอง (Construct a Model)
                           แบบจำลองเป็นการถ่ายทอดความรู้สำนึกคิดออกมาเป็นภาพที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นภาพลายเส้น หรือรูปสามมิติ แบบจำลองระบบทำให้เข้าใจโครงสร้าง องค์ประกอบและขั้นตอนในการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบหรือทำนายผลที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะนำระบบไปใช้จริง
5. ประเภทของระบบสารสนเทศ
                 การจำแนกสารสนเทศตามจำนวนที่เกี่ยวข้องในองค์กร แบ่งได้ 3 ระดับ คือ ระบบสารสนเทศระดับบุคคล ระบบสารสนเทศระดับกลุ่มและระบบสารสนเทศระดับองค์กร
                 1. ระบบบสารสนเทศระดับบุคคล คือ ระบบที่เสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลงานให้แต่ละบุคคลในหน้าที่รับผิดชอบ ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีขนาดเล็กลง ราคาถูก แต่มีความสามารถในการประมวลผลด้วยความเร็วสูงขึ้น ประกอบกับมีโปรแกรมสำเร็จที่ทำให้ใช้งานได้ง่าย กว้างขวางและคุ้มค่ามากขึ้น เช่น พนักงานขายควรมีข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าเป็นอย่างดี มีการจัดเก็บข้อมูลขอลลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ ความสนใจในตัวสินค้า หรือข้อมมูลอื่นๆ ที่จะสนับสนุนงานขาย
                  2. ระบบสารสนเทศระดับกลุ่ม คือ ระบบสารสนเทศที่ช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เตรียมสภาวะแวดล้อมที่จะเอี้ออำนวยประโยชน์ในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยทำเป้าหมายของธุรกิจดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิผล มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเฉพาะข้อมูลและอุปกรณ์เทคโนโลยีพื้นฐาน เชื่อมต่อกันด้วยเครือข่ายแลน
                  3. ระบบสารสนเทศระดับองค์กร คือ ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรในภาพรวม เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานร่วมกันของหลายแผนก โดยการใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องร่วมกันด้วยวิธีส่งผ่านถึงกันจำแนกหนึ่งข้ามไปอีกแผนกหนึ่ง ระบบนี้สามารถสนับสนุนงานในระดับผู้ปฏิบัติการและการตัดสินใจ โดยอาจนำข้อมูลมาแสดงสรุปในแบบฟอร์มที่ต้องการ หัวใจสำคัญของระบบสารสนเทศระดับองค์กรคือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในองค์กรทีจะต้องเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ของแต่ละแผนกเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการใช้ข้อมูลและทัพยากรร่วมกัน
6.ข้อมูลและสารสนเทศ 
                 ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการทำงานใดๆ ที่ได้ผลดีจำเป็นต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องครอบคลุมและตรงประเด็นประกอบการตัดสินใจในการเลือกวัตถุดิบ เนื่้อหาสาระ บุคลากร และวิธีการปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม โดยการจำแนกแจกแจง จัดหมวดหมู่และการประมวลผลข้อมูลที่เกี่ยวข้องทุกด้านอย่างเป็นระบบที่เรียกว่าสารสนเทศ
                 6.1 ข้อมูล (data)
                ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งที่สามารถนับได้มีคุณลักษณะเป็นวัตถุสิ่งของ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและต้องเป็นสิ่งมีความหมายในตัวมันเองซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของ รูปภาพ แสง สี เสียง รส นอกจากนี้ข้อเท็จจริงอาจจะอยู่ในรูปของคุณสัมบัติเป็นน้ำหนัก แรง อุณหภูมิ จำนวน ซึ่งสามารถแทนค่าด้วยตัวเลน ตัวอักษรข้อความก็ได้
                 ข้อมูลดิบ (raw data)  หมายถึง วัตถุสิ่งของ เหตุการณ์ สถานการณ์ ที่มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติอยู่ในสภาพเดิม มีความอิสระเป็นเอกเทศในตัวมันเองยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง ไม่ได้ถูกนำไปแปรรูปหรือประยุกต์ใช้กับงานใดๆ การตีความข้อมูลดิบเกิดจากพฤติกรรมการรับรู้การเรียนหรือประสบการณ์ในการสังเกต การวัด การนับ การสัมผัสจับต้องหรือกรรมวิธีอื่นๆ
                6.2 สารสนเทศ (informational)
                สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองโดยการจำแนกแจกแจง จัดหมวดหมู่การคำนวณและประมวลผลแล้ว สามารถนำไปแระยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้
                      6.2.1 คุรสมบัติของข้อมูลสารสนเทศที่ดี
                       ข้อมูลสารสนเทศที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
                       1. ความถูกต้อง (accurate) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง สามารถอ้างอิงได้จากแหล่งข้อมูลอื่นโดยเฉพาะข้อมูลดิบ
                       2. ทันเวลา (timeliness) ข้อมูลสารสนเทศต้องลักษณะเป็นปัจจุบันเสมอ สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ท่วงทันเวลาและเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบให้เป็นหมวดหมู่ สามารถสืบค้นได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
                       3. สอดคล้องกับงาน (relevance) ข้อมูลสารสนเทศต้องสอดคล้องและครอบคลุมกับงานที่กำลังดำเนินการอยู่ ไม่ใช่ข้อมูลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
                       4. สามารถตรวจสอบได้ (verifiable) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีต้องสามารถตรวจสอบได้ว่าถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถอ้างอิงและตรวจสอบได้
                       5. มีความสมบูรณืครบถ้วน (integrity) ข้อมูลสารสนเทศที่ดีจะต้องมีเนื้อหาสาระรวมถึงขั้นตอนและกระบวนการหรือวิธีการครอบคลุมการดำเนินงานโดยรวม
                      6.2.2 ชนิดของข้อมูล
                        ข้อมูลมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการจำแนก ในที่นี้จำแนกข้อมูลตาลักษณะการจัดเก็บซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ
                       1. ข้อมูลที่เป็นตัวเลข ใช้ระบุความหมายของสิ่งต่างๆ ในเชิงปริมาณ เช่น ราคาสินค้า จำนวนสิ่งของ ความสูง โดยระบุเป็นตัวเลขเท่านั้น เช่น 15.75 (บาท) 1,750 (กล่อง) 175.3 (ซ.ม.) 10111000 (เลขฐานสองเท่ากับ 184 ของเลขฐานสิบ) เป็นต้น
                       2. ข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ ใช้บรรยายความหมายหรือแทนข้อมูลบางอย่าง เช่น รถยนต์ เกวียน น.ส. ศรีสมร เป็นต้น
                       3. ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเลข หมายถึงมีทั้งตัวอักษร ตัวเลขและตัวสัญลักษณ์พิเศษ
                       4. ข้อมูลมัลติมิเดีย หรือสื่อประสม เช่น ภาพ เสียง ข้อความ ปนกัน เป็นต้น เป็นข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวถุงกันมาก แต่ความจริงแล้วข้อมูลชนิดนี้ถูกจัดเก็บในคอมพิวเตอร์ในรูปแแบของข้อมูลประเภทใดประเภทหนึ่งในสามประเภทแรก
                6.3 ความรู้ (Knowledge) 
                ความรู้ เป็นสภาวะทางสติปัญญาของมนุษย์ในการตีความสิ่งเร้าทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกด้วยความเข้าใจสาระของเนื้อหา กระบวนการ และขั้นตอน อาจอยู่ในรูปของข้อมูลดิบหรือสารสนเทศระดับต่างๆ หรืออาจอยู่ในรูปของอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผล คุณสมบัติของความรู้อาจให้ทั้งประโยชน์และโทษต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์จำเป็นต้องกำกับด้วยสติปัญญา
               6.4 การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ
               การสร้างสารสนเทศได้ต้องอาศัยกระบวนการรวบรวมและการประมวลผลโดยมีวิธีการจัดการดังนี้
                       6.4.1 ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล (Data processing steps)  เนื่องจากข้อมูลในโลกนี้มีมากมายหลายชนิดดังกล่าว การมราจะหาข้อมูลที่ดีได้จะต้องมีการประมวลผลตามขั้นตอนต่างๆที่เหมาะสม ดังนี้
                              1. การรวบรวมข้อมูล (Data collection) หมายถึง การเก็บข้อมูลจำนวนมากจากแหล่างกำเนิด (capturing) มาทำการเข้ารหัส (Coding) ในรูปที่เหมาะสมต่อการจัดเก็บและการบันทึก (recording) ในสื่อที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้นาๆ เช่น จดบันทึกในกระดาษ รวบรวมแฟ้ม เก็บเข้าตู้ หรือบันทึกลงจานแม่เหล็กโดยระบบคอมพิวเตอร์
                             2. การบำรุงรักษาและประมวลผลข้อมูล (Data Maintenance Processing) เป็นกระบวนการเก็บรักษาข้อมูลไว้ให้ใช้ได้ตลอดไป ซึ่งอาจประกอบด้วยปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลา (updating) ทำการแยกประเภท (classifying) จัดเรียงข้อมูล (sorting) และคำนวณหาข้อมูลใหม่จากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว (calculating) เพื่อให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น
                            3. การจัดการข้อมูล (Data Management) คือการสร้างระบบจัดการข้อมูลจนวนมากให้สามารถนำมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันเวลา ซึ่งประกอบด้วยการจัดเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทั้งแบบแฟ้มกระดาษหรือแฟ้มในคิมพิวเตอร์ การสร้างฐานข้อมูล คือระบบเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ที่มีการจัดระบบบำรุงรักษา ไม่ให้ผิดเพี้ยนหรือสูญหาย และการสร้างระบบค้นหาข้อมูล (retrieving) อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสืบค้นได้เร็วและมีข้อมูลสะสมให้เลือกใช้มากมายการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ
                            4. การควบคุมข้อมูล (Data Control) เป็นการป้องกันรักษาข้อมูลที่จัดเก็บไว้แล้วให้ปลอดภัย ไม่ให้ข้อมูลที่มีค่าถูกขโมยใช้งานอย่างไม่ถูกต้อง รวมทั้งหามาตรการในการประกันข้อมูลความปลอดภัยของข้อมูล ให้ถูกต้องแม่นยำ ไม่มีการคัดแปลงแก้ไขอย่างผิดๆ ทำความสมบูรณ์ถูกต้องของข้อมูลให้คงอยู่ตลอดไป
                            5. การสร้างสารสนเทศ (Information Generation) เป็นการตีความหมายของข้อมูลทีได้มาแล้ว ค้นหาความหมายหรือความสำคัญที่มีคุณค่าของข้อมูลที่ได้โดยการนำไปประมวลผลวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น การคำนวณ การเรียงข้อมูล เป็นต้น
                     6.4.2 วิธีการเก็บข้อมูล (Data Collection Methods) ข้อมูลอาจเกิดขึ้นได้เองหรือ เกิดจากการสร้าง การทดลองและการประมวลผลก็ได้เมื่อต้องการได้ความรู้หรือต้องการทราบความหมายหรือคุณค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิธีการกเก็บข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี ตัวอย่างเช่น การสำรวจด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของข้อมูล การนับจำนวนหรือวัดขนาดด้วยตนเองหรือโดยใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ
                             1. การสำรวจด้วยแบบสอบถาม ในการสำรวจข้อมูลความคิดเห็น อาจจำเป็นต้อทำแบบสอบถาม เพื่อให้ง่ายต่อการตอบและรวบรวมข้อมูล
                             2. การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของข้อมูล อาจใช้วิธีเก็บข้อมูลด้วยการแจกแบบสอบถามให้กับกลุ่มเป้าหมายทีเราต้องการทราบข้อมูล ผู้ตอบจะเขียนตอบหรือไม่ก็ได้ ในทางปฏิบัติพบว่าแบบสอบถามที่แจกไปจะได้รับตอบกลับมาเพียงประมาณ 10% เท่านั้น จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ในบางกรณีแบบสอบอาจไม่เหมาะสมเพราะคำถามบางคำถามไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ผู้ตอบแต่ละคนอาจมีความเข้าใจไม่ตรงกัน การเก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์จะแก้ไขจุดบกพร่องเหล่านี้ได้ โดยผู้เก็บข้อมูลออกไปสัมภาษณ์แหลางข่าว หรือแหล่งข้อมูลเองหรือถ้าต้องการข้อมูลจำนวนมาก ก็จ้างคนหลายๆคน ไปสัมภาษณ์ก็ได้
                            3. การนับจำนวนหรือวัดขนาดของตนเอง หรือโดยใช้อุปกรณ์อัตโนมัติ  ข้อมูลบางอย่างจำเป็นต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องไปนับหรือวัดด้วยตนเอง เช่น จำนวนต้นไม้ในป่า ความสูงของต้นไม้ความสูงของนักเรียน จำนวนปลาในบ่อเลี้ยงปลา เป็นต้น
                   ในการเก็บข้อมูลทงวิทยาศาสตร์ อาจต้องมีเครื่องมือวัดพิเศษเข้าช่วย เช่น เครื่องวัดความเข้มของแสง เครื่องวัดแรงดัน เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดความชื้น โดยเครื่องมือเหล่านี้ มีอุปกรณ์พิเศษเป็นตัวรับรูปริมาณของสิ่งที่ต้องการวัด เรียกว่า ตัวตรวจจับสัญญาณ หรือเซนเซอร์ หรือทรานซดิวเซอร์
       เครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล หมายถึง คอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องประมวลผลข้อมูลซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ
                    1. สถานีงาน (workstation) หมายถึงคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน ณ จุดที่จัดไว้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกันหรือจัดไว้ให้ผู้ใช้มาใช้ร่วมกัน หรือจัดไว้ที่โต๊ะทำงานของผู้ใช้แต่ละคน บางทีเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer หรือเรียกย่อๆว่า PC)
                    2. เครื่องบริการ (Server) เป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่ใช่ร่วมกันหลายคนเป็นเครื่องที่ใช้เก็บฐานข้อมูลหรือโปรแกรมสำเร็จประยุกต์ (Application package) จำนวนมากที่สามารถใช้ร่วมกันโดยการสั่งงานด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องบริการจะมีโปรแกรมควบคุมการทำงานซึ่งเรียกว่า ระบบปฏิบัติการเครือข่าย ที่มีระบบการทำงานและชื่อเครื่องหมายการค้าแตกต่างกัน
        เครือข่ายสื่อสารข้อมูล คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกันให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันหรือแลกเปลี่ยนกันได้ โดยใช้สายสื่อสารข้อมูลที่ทำจากทองแดงหรือเส้นใยแก้วนำแสง นิยมแบ่งเครือข่ายตามขนาดพื้นที่และจำนวนเครื่องที่ใช้งานได้แก่
                     1. แลน (LAN = Local Area Network) คือเครือข่ายบริเวณเฉพาะที่ จำกัดเขตเฉพาะภายในบริเวณอาคารหรือกลุ่มอาคารที่อยู่ใกล้กัน เนื่องจากข้อจำกัดของตัวกลางที่ใช้ส่งข้อมูล เช่น ภายในรั่วโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น
                     2. แวน (WAN = Wide Area Network) คือเครือข่ายบริเวณกว้าง ระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไปจนมากกว่าหลายพันกิโลเมตร หรือเครือข่ายสัญญาณดาวเทียม เป็นต้น
                     3. อินเทอร์เน็ต (Internet) คือเครือข่ายขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครือข่ายแวนจำนวนมากซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างไกลทั่วโลก






3 ความคิดเห็น: