ยินดีต้อนรับสู่ Blogger เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครูค่ะ
สวัสดีค่ะผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม Blogger ของดิฉันทุกท่านนะคะ Blogger นี้จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในเนื้อหาจะประกอบไปด้วยทั้งหมด 8บท ดังนี้
1. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2. ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
4. ซอฟต์แวร์
5. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
6.อินเทอร์เน็ต
7. การปยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
8. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองาน
และดิฉันหวังว่าเนื้อหาทั้ง8บทนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนนะคะ หากผิตพลาดประการใดดิฉันก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

.

.

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การบูรณาการเชิงคุณธรรมจริยธรรม

การบูรณาการเชิงคุณธรรมจริยธรรม
ทักษะการรู้สารสนเทศเป็นวิชาที่ว่าด้วยการฝึกฝนให้บุคคลเป็นผู้ที่มีความสามารถตระหนักรู้ว่าเมื่อไหร่ที่สารสนเทศมีความจำเป็น  มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ  รู้จักประเมินและใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้รู้สารสนเทศมีความสามารถในการเรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไรเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีทักษะ 5 ประการในกระบวนการรู้สารสนเทศ ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1     ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วสามารถเชื่อมโยงกับคุณธรรมจริยธรรม โดยเน้นไปที่หลักการคิดเชิงพุทธ คือโยนิโสมนสิการ  พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เน้นย้ำในเรื่องหลักประกันของชีวิตที่ดีงาม 7 ประการว่าองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการศึกษามี 2 องค์ประกอบ คือ การแสวงแหล่งปัญญาและแบบอย่างที่ดี (กัลยาณมิตตตา) และฉลาดคิดแยบคายให้ได้ประโยชน์และความจริง (โยนิโสมนสิการ)  ฉะนั้นสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะครูอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่ที่สำคัญ คือการเป็นกัลยาณมิตรของนิสิตนักศึกษาต้องพัฒนาให้นิสิตนักศึกษามีโยนิโสมนสิการหรือรู้จักคิด คิดเป็นตามแนวปัญญา เพราะโยนิโสมนสิการมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการศึกษา ดังที่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้ประเด็นให้เห็นว่าในการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์นั้นโยนิโสมนสิการเป็นแกนกลางของการศึกษา หรือเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของการศึกษา (อาภา จันทรสกุล, นภาพร ปรีชามารถ, & จิตตินันท์ บุญสถิรกุล, 2549) 
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) (2546) ได้ให้ความหมายไว้ว่า  “โยนิโสมนสิการ การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือ พิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ และความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี.....โดยสรุปสั้นๆ ได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล
โยนิโสมนสิการจึงเป็นเครื่องมือฝึกในการสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิตและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักคิดหรือคิดเองอันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา ซึ่งเห็นว่าน่าจะนำมาใช้เชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาในรายวิชาทักษะการรู้สารสนเทศได้เพราะเป้าหมายของรายวิชานี้ก็เพื่อสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รู้สารสนเทศที่สามารถแสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และการที่ผู้เรียนจะมีความสามารถดังกล่าวได้นั้นผู้เรียนก็ต้องคิดเป็น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ดังแจกแจงได้ดังนี้
ทักษะที่ 1 ความสามารถในการตระหนักรู้ถึงความต้องการสารสนเทศ   
เป็นทักษะที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ในเรื่องความต้องการสารสนเทศ ไม่เพียงแค่รู้แต่ต้องตระหนักว่าสารสนเทศมีความสำคัญอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญต่อการเรียนในระดับอุดมศึกษา เป็นการพิจารณาวางแผนในการสืบค้นเพื่อแก้ปัญหาตามจุดมุ่งหมายที่กำหนด หรือเมื่อเกิดความต้องการ   จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ในการแสวงหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหานั้น นอกจากจะเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าเพื่อความรู้ตามหลักสูตรแล้ว ยังอาจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำงานที่ต้องใช้เพื่อการตัดสินใจด้วยก็ได้  ทักษะประการนี้จึงเริ่มด้วยวิธีการคิด  การสอนให้คิดมีวิธีการหลากหลาย  วิธีคิดแบบอริยสัจหรือคิดแบบแก้ปัญหาเป็นหนึ่งในหลักการคิดเชิงพุทธที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ น่าจะเป็นวิธีที่สามารถนำมาบูรณาการในการสอนได้โดยสอนให้คิดด้วยวิธีนี้ คือให้สืบสาวหาเหตุผลเริ่มต้นที่ปัญหา ทำความเข้าใจกับปัญหาให้ชัดเจน แล้วสืบค้นหาทางแก้ปัญหานั้น ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ใช้ในการแก้ปัญหาตามกระบวนการของหลักวิทยาศาสตร์
ทักษะที่ 2 ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
เมื่อตระหนักแล้วว่าต้องการสารสนเทศอะไร ก็เริ่มต้นค้นหาสารสนเทศตามความต้องการนั้น ทั้งนี้จะต้องเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะสารสนเทศ กับลักษณะและการนำมาใช้ประโยชน์ของแหล่งและทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการนั้น   ซึ่งจากขั้นตอนวิธีคิดแบบอริยสัจยังคงตามมา แต่เพิ่มวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์เข้าไปอีก นั่นคือการฝึกคิดแบบหาความสัมพันธ์ระหว่างหลักการ ความมุ่งหมาย วิธีการใช้ ไม่ทำให้เป็นการกระทำที่คลาดเคลื่อน เลื่อนลอย ในการกระทำการตามหลักการใดๆก็ตาม จะต้องปฏิบัติหรือทำไปเพื่ออะไร หลักการนั้นกำหนดวางไว้เพื่ออะไร จะนำไปสู่ผลท้ายปลายทาง และเป้าหมายที่จะส่งทอดต่อไปยังหลักการข้ออื่น  ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่าธรรมานุธรรมฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะในการการกระทำนั้นๆ จะสำเร็จผลบรรลุจุดมุ่งหมายได้หรือไม่ ถ้าไม่มีธรรมานุธรรมปฏิบัติ การดำเนินตามหลักการก็คลาดเคลื่อน ผิดพลาด เลื่อนลอย ว่างเปล่า งมงายไร้ผล อาจมีผลในทางตรงข้ามคือเกิดโทษขึ้นได้  
ทักษะที่ 3 ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ 
 เมื่อค้นพบสารสนเทศตามที่ต้องการได้แล้ว ซึ่งในปัจจุบันมีมากมายที่จนบางทีมีมาก
เกินความต้องการ ทั้งนี้เพราะช่องทางของการเผยแพร่สารสนเทศนั้นหลากหลาย และก็ด้วยความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี ถึงแม้จะได้คิดด้วยเหตุผลและหลักการตามจุดมุ่งหมายมาอย่างดี แต่บางทีเราก็มักจะหลงไปในกับดักของความไฮเทค สารสนเทศที่ทะลักทะลายอาจทำให้เกิดความสับสนว่าอะไรคือสารสนเทศที่น่าเชื่อถือ ที่จะเกิดประโยชน์สูงสุด ที่จะเหมาะสมพอเพียงกับเนื้อหาสาระที่เราต้องการนำเสนอ จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ในการเลือกใช้สารสนเทศให้เหมาะสมพอเพียง  ดังนั้นจึงต้องพิจารณาด้วยสติปัญญา แยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ ต้องคิดถึงคุณค่าแท้คุณค่าเทียม เพื่อที่จะเลือกได้สารสนเทศที่มีคุณค่าที่แท้จริง  ทำให้งานที่ค้นคว้ามีความน่าเชื่อถือ  มีความถูกต้องสมบูรณ์อย่างพอเพียง
ทักษะที่ 4 ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
เมื่อเลือกได้สารสนเทศที่พอเพียงแล้ว ก็จำเป็นต้องนำสารสนเทศที่เลือกได้ทั้งหมดมา
วิเคราะห์สังเคราะห์ ประมวลสารสนเทศโดยจัดระเบียบสารสนเทศขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดความเข้าใจตามหลักการและจุดมุ่งหมายที่ต้องการนำเสนอ รวมทั้งตอบคำถามตามประเด็นปัญหาที่ต้องการ ทักษะนี้จำเป็นต้องใช้วิธีคิดแบบแยกแยะ และคิดแบบวิภัชชภาทคือมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละด้านแต่ละมุม นอกจากนั้นยังต้องคิดอย่างอิงอาศัยให้เห็นเหตุและปัจจัยของสรรพสิ่งที่อิงอาศัยกัน ทำให้เห็นความสัมพันธ์ ความสอดคล้องอย่างเป็นระบบ 
ทักษะที่ 5 ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นทักษะในการนำสารสนเทศที่ผ่านการสังเคราะห์แล้วมาเผยแพร่เพื่อนำไป

ประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งการนำไปใช้นั้นอาจอยู่ในหลายรูปแบบ จะอยู่ในรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำเสนอในลักษณะรายงานการค้นคว้านั้น จริยธรรมในการใช้สารสนเทศเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์(Copyright) การขโมยความคิด (Plagiarisms) ถึงแม้จะมีการเอื้อประโยชน์ในเรื่องของการใช้ที่เป็นธรรม (Fair use) แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกในการมีมารยาททางวิชาการดังกล่าวซึ่งเป็นจริยธรรมที่ต้องมีทั้งนี้ต้องคิดให้ถูกวิธี นอกจากนั้นคุณธรรมที่ต้องสั่งสมก็คือเรื่องความซื่อสัตย์ และศีลโดยเฉพาะข้อ 2 ที่ต้องนำบูรณาการ

3 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. เนื้อหาเข้าใจง่าย ภาพพื้นหลังน่ารรักดีค่ะ

    ตอบลบ
  3. เนื้อหาเพจทุกเพจกระชับน่าสนใจมากค่ะ

    ตอบลบ