การบูรณาการเชิงคุณธรรมจริยธรรม
ทักษะการรู้สารสนเทศเป็นวิชาที่ว่าด้วยการฝึกฝนให้บุคคลเป็นผู้ที่มีความสามารถตระหนักรู้ว่าเมื่อไหร่ที่สารสนเทศมีความจำเป็น
มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ รู้จักประเมินและใช้สารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้รู้สารสนเทศมีความสามารถในการเรียนรู้ว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไรเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดยมีทักษะ 5 ประการในกระบวนการรู้สารสนเทศ ดังแสดงในแผนภูมิที่ 1 ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วสามารถเชื่อมโยงกับคุณธรรมจริยธรรม
โดยเน้นไปที่หลักการคิดเชิงพุทธ คือโยนิโสมนสิการ “พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เน้นย้ำในเรื่องหลักประกันของชีวิตที่ดีงาม
7 ประการว่าองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการศึกษามี 2 องค์ประกอบ คือ การแสวงแหล่งปัญญาและแบบอย่างที่ดี (กัลยาณมิตตตา)
และฉลาดคิดแยบคายให้ได้ประโยชน์และความจริง (โยนิโสมนสิการ) ฉะนั้นสถาบันการศึกษา
โดยเฉพาะครูอาจารย์ซึ่งมีหน้าที่ที่สำคัญ คือการเป็นกัลยาณมิตรของนิสิตนักศึกษาต้องพัฒนาให้นิสิตนักศึกษามีโยนิโสมนสิการหรือรู้จักคิด
คิดเป็นตามแนวปัญญา เพราะโยนิโสมนสิการมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการศึกษา
ดังที่พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ชี้ประเด็นให้เห็นว่าในการศึกษาเพื่อพัฒนามนุษย์นั้นโยนิโสมนสิการเป็นแกนกลางของการศึกษา
หรือเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของการศึกษา” (อาภา จันทรสกุล, นภาพร ปรีชามารถ,
& จิตตินันท์ บุญสถิรกุล, 2549)
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) (2546) ได้ให้ความหมายไว้ว่า “โยนิโสมนสิการ
การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือ พิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง
โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ
และความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว
ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี.....โดยสรุปสั้นๆ ได้ว่า
คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล คิดเร้ากุศล”
โยนิโสมนสิการจึงเป็นเครื่องมือฝึกในการสร้างนิสัยใหม่ให้แก่จิตและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้มนุษย์รู้จักคิดหรือคิดเองอันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา
ซึ่งเห็นว่าน่าจะนำมาใช้เชื่อมโยงเข้ากับเนื้อหาในรายวิชาทักษะการรู้สารสนเทศได้เพราะเป้าหมายของรายวิชานี้ก็เพื่อสอนให้ผู้เรียนเป็นผู้รู้สารสนเทศที่สามารถแสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
และการที่ผู้เรียนจะมีความสามารถดังกล่าวได้นั้นผู้เรียนก็ต้องคิดเป็น
ซึ่งสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว ดังแจกแจงได้ดังนี้
ทักษะที่ 1
ความสามารถในการตระหนักรู้ถึงความต้องการสารสนเทศ
เป็นทักษะที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ในเรื่องความต้องการสารสนเทศ
ไม่เพียงแค่รู้แต่ต้องตระหนักว่าสารสนเทศมีความสำคัญอย่างไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญต่อการเรียนในระดับอุดมศึกษา
เป็นการพิจารณาวางแผนในการสืบค้นเพื่อแก้ปัญหาตามจุดมุ่งหมายที่กำหนด
หรือเมื่อเกิดความต้องการ
จุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ในการแสวงหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหานั้น
นอกจากจะเกี่ยวกับการศึกษาค้นคว้าเพื่อความรู้ตามหลักสูตรแล้ว
ยังอาจเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำงานที่ต้องใช้เพื่อการตัดสินใจด้วยก็ได้ ทักษะประการนี้จึงเริ่มด้วยวิธีการคิด การสอนให้คิดมีวิธีการหลากหลาย วิธีคิดแบบอริยสัจหรือคิดแบบแก้ปัญหาเป็นหนึ่งในหลักการคิดเชิงพุทธที่เรียกว่า
โยนิโสมนสิการ
น่าจะเป็นวิธีที่สามารถนำมาบูรณาการในการสอนได้โดยสอนให้คิดด้วยวิธีนี้
คือให้สืบสาวหาเหตุผลเริ่มต้นที่ปัญหา ทำความเข้าใจกับปัญหาให้ชัดเจน
แล้วสืบค้นหาทางแก้ปัญหานั้น ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ใช้ในการแก้ปัญหาตามกระบวนการของหลักวิทยาศาสตร์
ทักษะที่ 2 ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
เมื่อตระหนักแล้วว่าต้องการสารสนเทศอะไร
ก็เริ่มต้นค้นหาสารสนเทศตามความต้องการนั้น ทั้งนี้จะต้องเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะสารสนเทศ
กับลักษณะและการนำมาใช้ประโยชน์ของแหล่งและทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการนั้น ซึ่งจากขั้นตอนวิธีคิดแบบอริยสัจยังคงตามมา
แต่เพิ่มวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์เข้าไปอีก
นั่นคือการฝึกคิดแบบหาความสัมพันธ์ระหว่างหลักการ ความมุ่งหมาย วิธีการใช้ ไม่ทำให้เป็นการกระทำที่คลาดเคลื่อน
เลื่อนลอย ในการกระทำการตามหลักการใดๆก็ตาม จะต้องปฏิบัติหรือทำไปเพื่ออะไร
หลักการนั้นกำหนดวางไว้เพื่ออะไร จะนำไปสู่ผลท้ายปลายทาง และเป้าหมายที่จะส่งทอดต่อไปยังหลักการข้ออื่น ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติถูกต้องที่เรียกว่าธรรมานุธรรมฏิบัติ
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะในการการกระทำนั้นๆ จะสำเร็จผลบรรลุจุดมุ่งหมายได้หรือไม่
ถ้าไม่มีธรรมานุธรรมปฏิบัติ การดำเนินตามหลักการก็คลาดเคลื่อน ผิดพลาด เลื่อนลอย
ว่างเปล่า งมงายไร้ผล อาจมีผลในทางตรงข้ามคือเกิดโทษขึ้นได้
ทักษะที่ 3
ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
เมื่อค้นพบสารสนเทศตามที่ต้องการได้แล้ว
ซึ่งในปัจจุบันมีมากมายที่จนบางทีมีมาก
เกินความต้องการ ทั้งนี้เพราะช่องทางของการเผยแพร่สารสนเทศนั้นหลากหลาย
และก็ด้วยความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยี
ถึงแม้จะได้คิดด้วยเหตุผลและหลักการตามจุดมุ่งหมายมาอย่างดี แต่บางทีเราก็มักจะหลงไปในกับดักของความไฮเทค
สารสนเทศที่ทะลักทะลายอาจทำให้เกิดความสับสนว่าอะไรคือสารสนเทศที่น่าเชื่อถือ
ที่จะเกิดประโยชน์สูงสุด ที่จะเหมาะสมพอเพียงกับเนื้อหาสาระที่เราต้องการนำเสนอ จึงจำเป็นต้องมีเกณฑ์ในการเลือกใช้สารสนเทศให้เหมาะสมพอเพียง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาด้วยสติปัญญา แยกแยะให้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการ
ต้องคิดถึงคุณค่าแท้คุณค่าเทียม เพื่อที่จะเลือกได้สารสนเทศที่มีคุณค่าที่แท้จริง ทำให้งานที่ค้นคว้ามีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้องสมบูรณ์อย่างพอเพียง
ทักษะที่ 4 ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
เมื่อเลือกได้สารสนเทศที่พอเพียงแล้ว
ก็จำเป็นต้องนำสารสนเทศที่เลือกได้ทั้งหมดมา
วิเคราะห์สังเคราะห์ ประมวลสารสนเทศโดยจัดระเบียบสารสนเทศขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดความเข้าใจตามหลักการและจุดมุ่งหมายที่ต้องการนำเสนอ
รวมทั้งตอบคำถามตามประเด็นปัญหาที่ต้องการ ทักษะนี้จำเป็นต้องใช้วิธีคิดแบบแยกแยะ
และคิดแบบวิภัชชภาทคือมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละด้านแต่ละมุม
นอกจากนั้นยังต้องคิดอย่างอิงอาศัยให้เห็นเหตุและปัจจัยของสรรพสิ่งที่อิงอาศัยกัน
ทำให้เห็นความสัมพันธ์ ความสอดคล้องอย่างเป็นระบบ
ทักษะที่ 5
ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นทักษะในการนำสารสนเทศที่ผ่านการสังเคราะห์แล้วมาเผยแพร่เพื่อนำไป
ประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งการนำไปใช้นั้นอาจอยู่ในหลายรูปแบบ
จะอยู่ในรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากนำเสนอในลักษณะรายงานการค้นคว้านั้น
จริยธรรมในการใช้สารสนเทศเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะปัญหาในเรื่องลิขสิทธิ์(Copyright) การขโมยความคิด (Plagiarisms) ถึงแม้จะมีการเอื้อประโยชน์ในเรื่องของการใช้ที่เป็นธรรม
(Fair use) แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกในการมีมารยาททางวิชาการดังกล่าวซึ่งเป็นจริยธรรมที่ต้องมีทั้งนี้ต้องคิดให้ถูกวิธี
นอกจากนั้นคุณธรรมที่ต้องสั่งสมก็คือเรื่องความซื่อสัตย์ และศีลโดยเฉพาะข้อ 2
ที่ต้องนำบูรณาการ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบเนื้อหาเข้าใจง่าย ภาพพื้นหลังน่ารรักดีค่ะ
ตอบลบเนื้อหาเพจทุกเพจกระชับน่าสนใจมากค่ะ
ตอบลบ